ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมักจะใช้คำว่า “ไวรัส” และ “มัลแวร์” แทนกัน แต่ที่จริงแล้ว ไวรัสเป็นเพียงหนึ่งในหลายประเภทของมัลแวร์เท่านั้น มัลแวร์ (Malware) ย่อมาจากคำว่า “Malicious Software” หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย มัลแวร์ประเภทอื่น ๆ นอกจากไวรัส ยังมีเวิร์ม (Worms) โทรจัน (Trojans) แอดแวร์ (Adware) แรนซัมแวร์ (Ransomware) สปายแวร์ (Spyware) และรูทคิท (Rootkits)
ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายและละเมิดความปลอดภัยได้หลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับมัลแวร์ประเภทใด การกำจัดไวรัสหรือมัลแวร์ออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณก็สามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้
ขั้นตอนการกำจัดไวรัสและมัลแวร์
1. ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านไอที (หากจำเป็น)
มัลแวร์บางประเภท เช่น รูทคิท บูทคิท สปายแวร์ หรือแรนซัมแวร์ อาจลบออกได้ยาก หากคุณลองใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์แล้วไม่สำเร็จ อาจถึงเวลาที่ต้องติดต่อช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มีประสบการณ์และเครื่องมือเฉพาะที่สามารถช่วยคุณลบไวรัสหรือมัลแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพวกเขามักจะมีซอฟต์แวร์ตรวจจับและลบมัลแวร์ที่ไม่ได้มีให้ใช้งานทั่วไป
2. ตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่าย
หากคุณสงสัยว่าคอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัสหรือมัลแวร์ สิ่งแรกที่ควรทำคือตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่าย การตัดการเชื่อมต่อนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มัลแวร์ส่งข้อมูลของคุณกลับไปยังผู้สร้าง หรือเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C&C) ซึ่งบางครั้งมัลแวร์อาจหยุดทำงานหรือมีความเสี่ยงน้อยลงหากไม่สามารถสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมได้
3. ดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส
แม้ว่าระบบป้องกันภายในคอมพิวเตอร์ของคุณอาจมีประสิทธิภาพเพียงพอ แต่การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีการป้องกันหลายชั้นก็เป็นสิ่งจำเป็น โปรแกรมป้องกันไวรัสขั้นสูงจะช่วยตรวจจับมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในระบบได้ดีขึ้น และป้องกันไม่ให้มัลแวร์ใหม่เข้าสู่ระบบ ไม่ว่าคุณจะใช้ Windows หรือ Mac การติดตั้งซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถสูงจะช่วยให้คอมพิวเตอร์ปลอดภัยจากภัยคุกคามในอนาคตได้
4. บูตเข้าสู่โหมดปลอดภัย (Safe Mode)
การบูตเข้าสู่โหมดปลอดภัยจะช่วยป้องกันมัลแวร์ไม่ให้ทำงานในขณะที่คุณพยายามลบมันออก โหมดปลอดภัยเป็นโหมดที่ระบบจะโหลดเฉพาะไฟล์และไดรเวอร์ที่จำเป็นเท่านั้น การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณทำการสแกนและลบมัลแวร์ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ถูกขัดขวาง
5. รีบูตอุปกรณ์ของคุณ
มัลแวร์บางตัวสามารถอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ (RAM) และทำงานอย่างเงียบๆ การรีบูตเครื่องคอมพิวเตอร์จะช่วยล้างข้อมูลใน RAM และอาจทำให้มัลแวร์หยุดทำงานชั่วคราว อย่างไรก็ตาม การรีบูตไม่สามารถลบมัลแวร์ที่ถูกติดตั้งในฮาร์ดไดรฟ์ของคุณได้ แต่จะเป็นขั้นตอนแรกในการเริ่มกระบวนการทำความสะอาดระบบ
6. สแกนไวรัสและมัลแวร์
ใช้โปรแกรมสแกนไวรัสที่เชื่อถือได้เพื่อตรวจสอบการติดมัลแวร์ในระบบของคุณ โปรแกรมสแกนจะทำการค้นหามัลแวร์ทุกประเภท รวมถึงไวรัส สปายแวร์ และมัลแวร์อื่นๆ ที่แฝงอยู่ในไฟล์หรือโปรแกรมต่างๆ ของคุณ แม้ว่าคุณจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ การสแกนเป็นระยะๆ จะช่วยป้องกันภัยคุกคามที่อาจมองไม่เห็น
7. ล้างแคชของเบราว์เซอร์
แคชในเบราว์เซอร์คือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลชั่วคราว เช่น ไฟล์รูปภาพและวิดีโอที่เข้าชมจากเว็บไซต์ การล้างแคชจะช่วยลบข้อมูลที่อาจติดมัลแวร์ออกจากระบบ ในบางกรณี แคชที่มีข้อมูลที่เป็นอันตรายอาจถูกนำมาใช้เพื่อโจมตีระบบของคุณ ล้างแคชเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและช่วยให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานได้เร็วขึ้น
8. อัปเดตเบราว์เซอร์และรหัสผ่าน
เบราว์เซอร์ที่ไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์ผ่านช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข การอัปเดตเบราว์เซอร์จะช่วยป้องกันไม่ให้ช่องโหว่เหล่านี้ถูกใช้โจมตี นอกจากนี้ การอัปเดตรหัสผ่านของคุณเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงระบบของคุณผ่านบัญชีต่างๆ และปล่อยมัลแวร์ลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ
สรุป
การลบไวรัสออกจากคอมพิวเตอร์เริ่มต้นด้วยการติดต่อผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น เนื่องจากมัลแวร์บางประเภทอาจลบออกได้ยาก จากนั้นควรตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่ายเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส ดาวน์โหลดโปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพและบูตเข้าสู่โหมดปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้มัลแวร์ทำงานในขณะที่ทำการสแกน
เมื่อรีบูตเครื่องควรทำการสแกนไวรัสและล้างแคชในเบราว์เซอร์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย สุดท้ายอย่าลืมอัปเดตเบราว์เซอร์และรหัสผ่าน รวมถึงดำเนินการป้องกันในอนาคต
ที่มา : https://www.malwarebytes.com