แม้ฟีเจอร์ File History มีข้อจำกัดมากขึ้นใน Windows 11 แต่ก็ยังคงเป็นเครื่องมือสำรองข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับการปกป้องเอกสาร รูปภาพ และไฟล์สำคัญอยู่ ในบทความนี้เราจะแนะนำ ฟีเจอร์ File History บน Windows 11 กันค่ะ
File History คืออะไร?
ฟีเจอร์ File History ใช้ Backup ข้อมูลในวินโดวส์ มีจุดประสงค์หลักเพื่อสำรองและกู้คืนเวอร์ชันก่อนหน้าของไฟล์ สามารถสำรองข้อมูลโฟลเดอร์สำคัญ ๆ เช่น Documents, Pictures, Desktop และ OneDrive อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราลบหรือแก้ไขไฟล์โดยบังเอิญ ก็สามารถกู้คืนเวอร์ชันก่อนหน้าจาก File History ได้
ฟีเจอร์ File History จะบันทึกประวัติการเปลี่ยนแปลงของไฟล์เหล่านี้ไว้ โดยจะสร้างภาพถ่ายหรือเวอร์ชันสำรองไว้ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ทุกๆ 1 ชั่วโมง เมื่อเราต้องการกู้คืนไฟล์ ก็สามารถเลือกเวอร์ชันที่ต้องการจากประวัติได้
ข้อดีของการใช้ File History
- ใช้งานง่าย : ตั้งค่าและใช้งานง่าย เพียงเชื่อมต่อไดรฟ์ภายนอก เลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการสำรองข้อมูล ตั้งค่าความถี่ และระบบจะทำการสำรองข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ
- สำรองข้อมูลอัตโนมัติ : ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการสำรองข้อมูลด้วยตัวเอง ระบบจะทำการสำรองข้อมูลตามความถี่ที่คุณตั้งค่าไว้
- กู้คืนไฟล์ที่ถูกลบหรือแก้ไข : ช่วยให้เราสามารถกู้คืนไฟล์ที่ถูกลบโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าของไฟล์ที่แก้ไข
- ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ: File History เก็บเฉพาะเวอร์ชันล่าสุดของไฟล์ ประหยัดพื้นที่จัดเก็บบนไดรฟ์สำรอง
- ฟรี! : File History มาพร้อมกับ Windows 11 โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ขั้นตอนการตั้งค่าฟีเจอร์ File History บน Windows 11
Microsoft ได้ทำให้ฟีเจอร์ File History มีข้อจำกัดมากขึ้นใน Windows 11 ฟีเจอร์นี้ไม่อนุญาตให้เพิ่มโฟลเดอร์อื่นลงในระบบสำรองข้อมูล นอกจาก Documents, Music, Pictures, Videos, และ Desktop เท่านั้น
รวมถึงไฟล์ OneDrive แบบออฟไลน์ที่จัดเก็บไว้ในพีซี หากต้องการสำรองไฟล์อื่น ๆ ที่ไม่ได้รวมอยู่ในโฟลเดอร์เหล่านี้ Microsoft แนะนำให้คุณเพิ่มไฟล์เหล่านั้นลงในโฟลเดอร์เริ่มต้นอันใดอันหนึ่ง
1.เข้าถึง File History
คลิกที่ไอคอนค้นหาในทาสก์บาร์แล้วพิมพ์ “ประวัติไฟล์” (File History) จากนั้นเลือกผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้น หรือ เปิดหน้า Control Panel หัวข้อ System and Securtiy เลือก Save backup copices of you file with File History
รูปภาพแสดง : เข้าถึง File History ใน windows
2.การตั้งค่า File History
จากนั้นเลือก “select drive” เราจะเห็น File History ค้นหาไดรฟ์ที่เชื่อมต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์ของเรา เลือกไดรฟ์สำหรับสำรองข้อมูลนี้ แล้วคลิกที่ “OK”
รูปภาพแสดง : รายชื่อเข้าถึง File History Dirve ในคอมพิวเตอร์
3.กำหนดวามถี่การสำรองข้อมูล
File History จะสำรองไฟล์ในโฟลเดอร์เริ่มต้นที่กำหนดไว้ (Documents, Music, Pictures, Videos, Desktop และไฟล์ OneDrive แบบออฟไลน์) โดยอัตโนมัติ หากต้องการ กำหนดความถี่ในการสำรองและต้องการเก็บไฟล์สำรองเวลาไหนบ้าง เราสามารถทำได้โดยคลิกที่ “Advanced settings” ในเมนูด้านซ้ายมือ
รูปภาพแสดง : กำหนดวามถี่การสำรองข้อมูล
จากนั้นคลิกเมนู “Keep saved versions” เพื่อกำหนดระยะเวลาที่ต้องการเก็บสำรองไฟล์ ตั้งแต่ “จนกว่าจำเป็นต้องใช้พื้นที่” ไปจนถึง “Save changes” เมื่อกำหนดระยะเวลาเสร็จแล้ว คลิก “บันทึกการเปลี่ยนแปลง” จากนั้นในหน้าจอ File History ให้คลิกปุ่ม “Turn on” เพื่อเริ่มการสำรองข้อมูลครั้งแรก
รูปภาพแสดง : Keep saved versions
5.การคืนค่าไฟล์จาก File History
หากคุณต้องการคืนค่าไฟล์ที่สำรองไว้ คุณสามารถเปิด File History แล้วคลิก “Restore personal files”
รูปภาพแสดง : Restore personal files ใน File History
จากนั้นเลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการคืนค่า Windows จะคืนค่าไฟล์ไปยังตำแหน่งก่อนหน้าโดยอัตโนมัติหากไฟล์ต้นฉบับหายไป หากไฟล์ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม Windows จะถามว่าเราต้องการแทนที่ ข้ามไฟล์ หรือเปรียบเทียบทั้งสองไฟล์
รูปภาพแสดง : การแทนที่ไฟล์เวอร์ชั่นก่อนหน้า
ข้อควรระวังในการใช้ File History ใน Windows 11
เนื่องจากข้อจำกัดของ File History ใน Windows 11 การสำรองข้อมูลอาจไม่ครอบคลุมทุกไฟล์ที่คุณต้องการ การเพิ่มไฟล์สำคัญลงในโฟลเดอร์เริ่มต้นที่รองรับโดย File History เป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่หากยังไม่พอเพียง คุณอาจต้องใช้โปรแกรมสำรองข้อมูลของบริษัทอื่นที่มีตัวเลือกและความยืดหยุ่นมากกว่า
โปรแกรมสำรองข้อมูลของบริษัทอื่นมักมีฟีเจอร์เพิ่มเติมเช่น การสำรองข้อมูลแบบเรียลไทม์ การสำรองข้อมูลไปยังคลาวด์ และการตั้งค่าการสำรองข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งอาจตอบสนองความต้องการได้ดีกว่า
บทสรุป
แม้ว่า Microsoft จะทำให้ฟีเจอร์ File History ใน Windows 11 มีข้อจำกัดมากขึ้นและเข้าถึงยากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเป็นเครื่องมือสำรองข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับการปกป้องเอกสาร รูปภาพ และไฟล์สำคัญของคุณ หากคุณต้องการสำรองข้อมูลที่ครอบคลุมมากขึ้น ควรพิจารณาใช้โปรแกรมสำรองข้อมูลของบริษัทอื่นที่มีตัวเลือกและความยืดหยุ่นที่มากกว่า
ที่มา : https://www.pcmag.com/