10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2023 ที่ควรจับตามองเพื่อได้เตรียมพร้อม

ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเข้าถึงได้ทุกที่ ทำให้เทคโนโลยีในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน มาดูกันว่า 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2023 ที่ควรจับตามองเพื่อให้ทุกคนได้เตรียมพร้อม ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัลของเราในอีก 12 เดือนข้างหน้ามีอะไรบ้าง

1.เทคโนโลยี AI จะอยู่ทุกที่

ในปี 2023 ปัญญาประดิษฐ์จะเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในองค์กรต่าง ๆ โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องรู้โค้ด เพียงแค่ใช้หน้าตาอินเทอร์เฟซแบบลากและวาง ก็ทำงานได้แล้ว AI กำลังจะอยู่ทุกที่ ทุกกระบวนการทางธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ ผู้ค้าปลีกจำนวนมากเริ่มจะใช้ AI

เพื่อจัดการและทำให้กระบวนการจัดการสินค้าคงคลังที่ซับซ้อนและฉลาดยิ่งขึ้น หลายคนเริ่มคุ้นเคยกับมันแล้วอย่าง Chat GPT ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่เพิ่งเปิดตัวมาไม่นานมานี้

2.ต่อไป Metaverse จะกลายเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

ในปัจจุบัน Metaverse กำลังเป็นกระแสต้องการอย่างมากเพราะมีผู้ใช้งานมากขึ้น และบางบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงเช่น Facebook, Google, Amazon และ Tencent ก็ได้เริ่มลงทุนในการพัฒนา Metaverse ดังนั้น Metaverse จะมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นจริงมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) และความจริงเสมือน (VR) จะยังคงก้าวหน้าต่อไป สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองคือสภาพแวดล้อมการทำงานใน metaverse – ในปี 2023

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า metaverse จะเพิ่มมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจโลกภายในปี 2573 และปี 2566 จะเป็นปีที่กำหนดทิศทางของ metaverse ในทศวรรษหน้า

3. Web3 พัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว

Web3 เป็นโครงสร้างของอินเทอร์เน็ตที่มีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจาก Web2 ที่เป็นโครงสร้างของอินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน มีความคืบหน้าอย่างมากใน Web3 ดังนี้

  1. Decentralized Finance (DeFi) – การเปลี่ยนแปลงในวงการการเงินเป็นเรื่องสำคัญของ Web3 โดย DeFi เป็นส่วนหนึ่งของนั้น ซึ่งเป็นระบบการเงินที่ไม่มีการควบคุมจากธนาคารหรือผู้ใช้งานที่มีอำนาจในการตัดสินใจ การใช้เทคโนโลยีเชิงคณิตศาสตร์ เช่น blockchain จะช่วยให้ DeFi มีความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. NFTs (Non-Fungible Tokens) – มีความคิดเห็นร่วมกันว่า NFTs เป็นการเปลี่ยนแปลงในวงการศิลปะ โดยใช้ blockchain ในการสร้างและการแลกเปลี่ยนภาพศิลปะแบบไม่สามารถแทนที่กันได้ การใช้ NFTs ช่วยให้ศิลปินสามารถขายผลงานศิลปะได้อย่างรวดเร็วและรับรู้ค่าของงานศิลปะได้อย่างชัดเจน
  3. Web3 เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานมีการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองมากขึ้น โดยใช้ blockchain ในการจัดเก็บข้อมูลและการรักษา

4.เชื่อมโยงโลกของดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริง

การเชื่อมโยงโลกดิจิตอลและโลกจริง หมายถึงการเชื่อมต่อหรือประสานงานระหว่างโลกที่เป็นดิจิตอลและโลกที่เป็นจริง เราเห็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกของดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงบ้างแล้ว และแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในปี 2566 อย่างเช่นเทคโนโลยี AI Algorithm, IoT, Cloud Computing เป็นต้น

5.ทางออกสำหรับแก้ไขภาวะโลกร้อนมีมากยิ่งขึ้น

ในปี 2023 เราจะได้เห็นเทคโนโลยีการตัดต่อยีนที่เร่งตัวขึ้นเพื่อให้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นแก่เราในการ “แก้ไขธรรมชาติ” โดยการเปลี่ยนแปลง DNA การแก้ไขยีนทำงานคล้ายกับการประมวลผลคำ

ซึ่งคุณสามารถนำคำบางคำออกและเพิ่มคำอื่นๆ เข้าไปได้ แต่คุณสามารถทำได้ด้วยยีน การตัดต่อยีนสามารถใช้เพื่อแก้ไขการกลายพันธุ์ของ DNA แก้ปัญหาการแพ้อาหาร เพิ่มความสมบูรณ์ของพืชผล หรือแม้กระทั่งแก้ไขลักษณะของมนุษย์ เช่น สีตาและขน

6.ความก้าวหน้าของควอนตัม

ขณะนี้มีการแข่งขันกันทั่วโลกเพื่อพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมในวงกว้าง การประมวลผลแบบควอนตัมซึ่งใช้อนุภาคของอะตอม เพื่อสร้างวิธีใหม่ในการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูล เป็นการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่คาดว่า จะทำให้คอมพิวเตอร์ของเราสามารถทำงานได้เร็วกว่าโปรเซสเซอร์แบบดั้งเดิมที่เร็วที่สุด ในปัจจุบันถึงล้านล้านเท่า

นี่เป็นแนวโน้มที่ต้องจับตาดูให้ดีในปี 2023 เนื่องจากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และรัสเซีย ทุ่มเงินให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้ง

7.ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีสีเขียว

หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลก ในขณะนี้ คือการหยุดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อให้เราลดภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดวิกฤตอากาศแปรปรวน

ในปี 2023 มีความคืบหน้าเกี่ยวกับไฮโดรเจนสีเขียวบ้างแล้ว ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานเผาไหม้สะอาดแบบใหม่ ที่ไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ เรายังจะได้เห็นความคืบหน้าในการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าแบบกระจายอำนาจอีกด้วย เช่นแผงโซล่าเซล เป็นต้น การผลิตพลังงานแบบกระจายโดยใช้แบบจำลองนี้ทำให้ระบบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กและแหล่งกักเก็บไฟฟ้าตั้งอยู่ในชุมชนหรือบ้านแต่ละหลัง จึงสามารถจ่ายพลังงานได้ แม้ว่าจะไม่มีโครงข่ายไฟฟ้าหลักก็ตาม

8.หุ่นยนต์จะกลายเป็นมนุษย์มากขึ้น

ในปี 2023 หุ่นยนต์จะมีลักษณะเหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านรูปร่างหน้าตาและความสามารถ หุ่นยนต์ประเภทนี้จะถูกใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงในฐานะผู้ต้อนรับงาน บาร์เทนเดอร์ เจ้าหน้าที่ดูแลแขก และเพื่อนผู้สูงวัย พวกเขายังจะทำงานที่ซับซ้อนในคลังสินค้าและโรงงานขณะที่พวกเขาทำงานร่วมกับมนุษย์ในการผลิตและการขนส่ง

บริษัทแห่งหนึ่งกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ที่จะทำงานในบ้านของเรา ที่งาน Tesla AI Day ในเดือนกันยายน 2022 Elon Musk เปิดเผยต้นแบบหุ่นยนต์ Optimus หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ 2 ตัว และกล่าวว่าบริษัทจะพร้อมรับคำสั่งซื้อภายใน 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า หุ่นยนต์สามารถทำงานง่ายๆ เช่น ยกของและรดน้ำต้นไม้ได้ ดังนั้น บางทีเร็วๆ นี้เราอาจจะสามารถมี “บัตเลอร์หุ่นยนต์” ที่ช่วยงานในบ้านได้

9. ความก้าวหน้าในระบบอัตโนมัติ

ผู้นำทางธุรกิจจะยังคงเดินหน้าต่อไปในการสร้างระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดส่งและลอจิสติกส์ โรงงานและคลังสินค้าหลายแห่งได้กลายเป็นพื้นที่อิสระบางส่วนหรือทั้งหมดแล้ว

ในปี 2023 เราจะเห็นรถบรรทุกและเรือที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองมากขึ้น เช่นเดียวกับหุ่นยนต์ส่งของ — และโกดังและโรงงานจำนวนมากขึ้นจะนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้

10. เทคโนโลยีที่ยั่งยืนมากขึ้น

ในที่สุด เราจะเห็นการผลักดันไปสู่เทคโนโลยีที่ยั่งยืนมากขึ้นในปี 2023 พวกเราหลายคน (หากไม่ใช่ส่วนใหญ่) ติดเทคโนโลยีอย่างเช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ แต่ส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตแกดเจ็ตที่เราชื่นชอบนั้นมาจากที่ใด ผู้คนจะคิดมากขึ้นว่าส่วนประกอบของแร่หายากสำหรับสิ่งต่างๆ เช่น ชิปคอมพิวเตอร์มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด และเราบริโภคมันอย่างไร

เรายังใช้บริการคลาวด์เช่น Netflix และ Spotify ซึ่งยังคงทำงานในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานจำนวนมาก

ในปี 2023 เราจะเห็นการผลักดันอย่างต่อเนื่องในการทำให้ซัพพลายเชนมีความโปร่งใสมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคต้องการให้ผลิตภัณฑ์และบริการที่พวกเขาลงทุนนั้นประหยัดพลังงานและได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีที่ยั่งยืนมากขึ้น

ที่มา : https://www.forbes.com