เพราะอะไรทั้ง ๆ ที่ติดเน็ตแบบไฮสปีดแต่เจอเน็ตวิ่งไม่เต็มสปีด เจอเน็ตช้า

หากใครเจอเหตุการณ์นี้ ทั้งๆที่เราใช้บริการอิเตอร์ที่มีความเร็วสูวทำไมเจอปัญหาบัฟเฟอร์ช้า? (ปัญหาความไม่เสถียรของเครือข่าย มีปัญหาเน็ตช้าเจอความเร็วลดลงในบางเวลา ) โดยในบทความจะอธิบายหลายสาเหตุ มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจขัดขวางการทำงานของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของเราไม่ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ

ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่ สัญญาณอ่อน การตั้งค่าการจัดการเครือข่าย จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ และอื่นๆ มาดูสาเหตุที่อาจทำให้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของเรามีปัญหาการบัฟเฟอร์ในขณะนี้

อะไรทำให้เราที่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแต่บัฟเฟอร์ช้า

สาเหตุอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแต่บัฟเฟอร์ช้าสามารถเกิดขึ้นได้หลายประการดังต่อไปนี้ :

  • สัญญาณอ่อน
  • คุณภาพของการตั้งค่าบริการ
  • จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
  • การใช้แบนด์วิธสูง
  • มีอุปกรณ์ที่ช้าและล้าสมัย
  • การควบคุมปริมาณและแบนด์วิดธ์สูงสุด

สัญญาณอ่อน

เหตุผลที่สัญญาณอ่อนเป็นสาเหตุที่ทำให้อินเทอร์เน็ตบัฟเฟอร์ช้า เพราะเป็นผลมาจากกำแพงห้องในบ้านหรือที่ทำงานของคุณที่หนาไปทำให้เป็นการรบกวนการส่งสัญญาณจากไวไฟไร้สาย และอีกหนึ่งสาเหตุอีกอย่างคือระยะห่างของเร้าเตอร์กับ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของเราที่อยู่ไม่ในช่วงกระแสการเชื่อมต่อ เราจะต้องเจอเน็ตที่ช้าแม้ว่าเราจะใช้เน็ตความเร็วสูงก็ตาม

คุณภาพของการตั้งค่าในเร้าเตอร์

Quality of Service หรือที่เรียกว่า QoS คือการตั้งค่าที่ฝังอยู่ในเราเตอร์บางตัว การตั้งค่านี้ช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์เพื่อให้เราเตอร์สามารถให้เชื่อมต่อที่ดีที่สุดกับอุปกรณ์ที่มีลำดับความสำคัญได้ เมื่อเราปรับการตั้งค่านี้ให้ลำดับความสำคัญกับอุปกรณ์ที่เหมาะสม เราจะได้รับการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและดียิ่งขึ้น

จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเร้าเตอร์ของเรา

หากในบ้านหรือที่ทำงานของเรามีอุปกรณ์หลายเครื่องที่เชื่อมต่อกับเราเตอร์ เราจะเจอเน็ตที่ช้าลงแม้ว่าจะเชื่อมอินเตอร์ความเร็วสูงก็ตาม นั้นก็เพราะอุปกรณ์แต่ละเครื่อง มีการแย่งแบนด์วิดท์หรือแย่งการใช้อินเตอร์นั่นเอง

แม้ว่าเราเตอร์จะพยายามแบ่งความเร็วที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอนุญาตให้เท่าๆกัน ระหว่างอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ แต่อุปกรณ์ต้องการแบนด์วิดท์อาจใช้แบนด์วิดท์มากกว่าที่มี

ดังนั้นคุณอาจพบการครอบคลุมเครือข่ายที่ดีเยี่ยมบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฟน ในขณะที่อุปกรณ์ขนาดใหญ่ของคุณ เช่น คอมพิวเตอร์หรือเกมคอนโซล ประสบปัญหาการบัฟเฟอร์ ในทางกลับกัน

การใช้แบนด์วิธสูง

หากในช่วงเวลานั้นเรามีเหตุการณ์ที่ต้องใช้แบนด์วิดท์จำนวนมากอาจทำให้อุปกรณ์อื่นๆ เกิดบัฟเฟอร์ได้ ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่บนคอนโซลเกมหรือคอมพิวเตอร์ และยังพยายามสตรีมวิดีโอบนสมาร์ทโฟนอีก เราอาจปัญหาบัฟเฟอร์บนสมาร์ทโฟน เนื่องจากการดาวน์โหลดมีแนวโน้มที่จะใช้แบนด์วิดท์มากกว่าการวิดีโอบนสมาร์ทโฟน นี้ก็เป็นหนึ่งสาเหตุนึงเหมือนกัน

มีอุปกรณ์ที่ช้าและล้าสมัย

หากอุปกรณ์ของเรามีการใช้ชิปที่ตกรุ่นล้าสมัยหรือเสื่อมสภาพแล้ว เราก็อาจเจอปัญหาการบัฟเฟอร์ แม้มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทั้งนี้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่นคอมพิวเตอร์หรือมือถือ มักจะตกรุ่นได้อย่างรวดเร็ว

การควบคุมปริมาณและแบนด์วิดธ์สูงสุด จากผู้ให้บริการเอง

ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกว่า ISP ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราอาจเจอปัญหาบัฟเฟอร์ในการเชื่อมต่ออินเตอร์ความเร็วสูง ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลายแห่งจำกัดข้อเสนอบริการและเร่งความเร็วของเราที่ได้รับเมื่อถึงขีดจำกัด ซึ่งหมายความว่าเมื่อเราได้รับความเร็วถึงขีดจำกัดแล้ว ทาง ISP จะลดความเร็วลง

ตัวอย่างเช่น ทาง ISP ที่ระบุว่าเราสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตไม่จำกัดภายใต้ความเร็วสูงสุด 50Mbps อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะเพิ่มประโยคถัดมาว่าเมื่อเราใช้เกิน 500GB ไปแล้วความเร็วจะลดลงเหลือ 5Mbps นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เราเข้าอินเตอร์ช้าหรือเล่นเกมส์แล้วสะดุดลงได้

วิธีการหยุดบัฟเฟอร์เมื่อสตรีมหรือใช้อินเตอร์

การแก้ไขเวลาที่สตรีมวิดีโอหรือเล่นเกมส์แล้วรู้สึกว่าช้า ให้คุณลองทำตามวิธีดังต่อไปนี้

เพิ่มประสิทธิภาพการตั้งค่า (QoS) ของเร้าเตอร์

จากที่กล่าวไว้ข้างต้น การตั้งค่าการจัดการเครือข่ายในบ้านหรือที่ทำงานอาจจะไม่มีคุณภาพ ทำให้เจอปัญหาบัฟเฟอร์ช้า สิ่งที่ต้องการทำคือตรวจสอบว่าเราเตอร์ของเรามีการตั้งค่า QoS คือมีการลำดับความสำคัญของอุปกรณ์หรือไม่

ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถให้ความสำคัญกับอุปกรณ์เล่นเกมและสตรีมมากกว่าอุปกรณ์ที่คุณใช้สำหรับการแชทและส่งข้อความ การปรับการตั้งค่า QoS ของเราเตอร์ให้เหมาะสม วิธีนี้คุณจะได้สัมผัสกับความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการให้ลำดับความสำคัญของอุปกรณ์

โดยเราสามารถเข้าไปตรวจสอบการตั้งค่า QoS ได้ผ่านทางเข้าหน้าเว็บ admin ของเร้าเตอร์ แต่ว่าเราเตอร์บางตัวเท่านั้นที่มีการตั้งค่า QoS เพราะฉะนั้นควรศึกษาให้ดีก่อน

ลดจำนวนอุปกรณ์ให้น้อยที่สุด

จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเร้าเตอร์เป็นตัวแปรที่สำคัญที่เกี่ยวกับความเร็วอินเตอร์ หากอุปกรณ์หลายเครื่องเชื่อมต่อกับเครือข่ายเดียวกัน อุปกรณ์แต่ละเครื่องนั้นจะพยายามแย่งแบนด์วิดท์ของอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความแออัดและความเร็วลดลงได้

อย่างเช่น กริ่งประตู สมาร์ทวอทช์ ลำโพง ระบบไฟอัจฉริยะ ฯลฯ ของเรา มีแนวโน้มที่จะใช้แบนด์วิดท์จำนวนมาก ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์หลักของคุณได้ความเร็วของอินเตอร์ลดลงทันที การแย่งใช้อินเตอร์เน็ตระหว่างอุปกรณ์นี้ย่อมส่งผลไปสู่การบัฟเฟอร์ที่ช้า อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคุณเล่นเกมหรือสตรีมเพลงอยู่ รวมถึงการเกิดบัฟเฟอร์วิดีโอในอุปกรณ์หลักของเราอีกด้วย

สิ่งที่ต้องการทำคือลดจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเราเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเตอร์ไม่มีการตั้งค่า QoS คุณสามารถจำกัดความเร็วที่พวกเขาได้รับผ่านแผนที่เครือข่ายหรือเว็บอินเตอร์เฟสของเราเตอร์

เครื่องมือทั้งสองนี้ช่วยให้คุณเห็นจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ คุณจึงสามารถจำกัดหรือปิดใช้งานการเชื่อมต่อกับเครือข่ายของคุณได้ คุณยังสามารถเปลี่ยนรหัสผ่าน Wi-Fi และเชื่อมต่อเฉพาะอุปกรณ์สำคัญของคุณกับเครือข่ายได้

ชะลอหรือลดกิจกรรมที่ใช้แบนด์วิดท์

กิจกรรมต่างๆที่มีประสบปัญหาการบัฟเฟอร์ช้าเช่น การอัปเดตไฟล์เกมและซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ หรือการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่พร้อมๆ กัน กับที่การสตรีมวิดีโอหรือเล่นเกมส์ออนไลน์

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางออกที่ดีคือการเลื่อนการอัปเดตหรือดาวน์โหลดไฟล์ของเราออกไปก่อน ให้รอเวลาที่ไม่ได้มีอุปกรณ์เชื่อมต่อเยอะแล้วค่อยกับมาโหลดอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้ เราจะมีแบนด์วิดท์มากขึ้นในการแบ่งปันระหว่างอุปกรณ์หลักและการดาวน์โหลดของเรา

ทั้งนี้เรายังสามารถสร้างเครือข่ายภายในบ้านสองเครือข่ายแยกกันได้ แม้ว่าเครือข่ายหนึ่งจะใช้เพื่อการใช้งานทั่วไป แต่อีกเครือข่ายหนึ่งจะใช้สำหรับการใช้งานส่วนตัวของเราโดยเฉพาะ การสร้างเครือข่ายในบ้านสองเครือข่ายแยกจากกันจะช่วยให้เราปรับปรุงความเร็วบัฟเฟอร์ได้อย่างมาก

ใช้สาย LAN ในการเชื่อมต่อ

หลายคนอาจจะคุ้นชินกับการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi แต่จริงๆแล้ว การเชื่อมต่อแบบ LAN นั้นให้ประสิทธิภาพของความอินเตอร์มากว่า ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการปรับปรุงความเร็วในการบัฟเฟอร์ช้าอีกด้วย แม้ว่าเราอาจไม่สามารถใช้การเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ตสำหรับอุปกรณ์ Wi-Fi เช่น โทรศัพท์มือถือ คอนโซลเกม แต่เราก็ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่รองรับสายแลน เช่น คอมพิวเตอร์ เวิร์กสเตชัน เป็นต้น

ให้อุปกรณ์ของคุณอยู่ขอบเขตระยะของสัญญาณ WiFi

เราเตอร์ส่วนใหญ่ส่งสัญญาณไร้สายภายในช่วงที่กำหนดและเมื่ออุปกรณ์อยู่ใกลออกไปจากระยะที่กำหนด เรามักจะเจอกับบัฟเฟอร์ช้า

อุปกรณ์อาจถูกตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่าย เมื่ออยู่นอกระยะการเชื่อมต่อของเราเตอร์ ไม่สำคัญว่าคุณมีการสมัครใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจาก ISP หรือไม่

เราเตอร์กระจายสัญญาณเหมือนร่ม ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องให้อุปกรณ์ของคุณอยู่ในระยะของร่มนั้น เพื่อให้ได้ความเร็วที่ดีที่สุดและปรับปรุงการบัฟเฟอร์ของคุณ

นอกจากนี้ ปัจจัยต่างๆ เช่น ผนังและไมโครเวฟ อาจรบกวนสัญญาณที่คุณได้รับจากเราเตอร์ ทำให้สัญญาณอ่อน ส่งผลให้บัฟเฟอร์ช้าหรือขาดการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น คุณต้องการให้แน่ใจว่าเราเตอร์ของคุณอยู่ในจุดที่ดีที่ผนังและไมโครเวฟจะไม่ทำให้เกิดการรบกวนใดๆ คุณยังสามารถรับตัวขยายสัญญาณ Wi-Fi เพื่อช่วยคุณขยายช่วงของเราเตอร์ของคุณ

เปลี่ยนช่องสัญญาณ Wi-Fi ของคุณ

ช่องสัญญาณไร้สายได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยปรับปรุงการรับส่งข้อมูล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่องทางเหล่านี้ประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก จึงมีโอกาสที่ทำให้เกิดการแออัด ส่งผลให้ความเร็วการเชื่อมต่อลดลง

คุณสามารถวินิจฉัยช่องสัญญาณ Wi-Fi ด้วยแอป Android, iOS, Mac หรือ Windows เช่น NetSpot หากหลังจากวินิจฉัยและวิเคราะห์ช่องสัญญาณไร้สายของเราเตอร์แล้ว คุณยืนยันว่าช่องสัญญาณแออัด คุณจะต้องเปลี่ยนไปใช้ช่องสัญญาณอื่นผ่านอินเทอร์เฟซเว็บของเราเตอร์

เราเตอร์ที่ทันสมัยส่วนใหญ่มาพร้อมกับช่องสัญญาณที่แตกต่างกันสองถึงสามช่องสัญญาณ และมักมีแถบความถี่กำกับกำกับไว้

คุณน่าจะพบคลื่นความถี่สองแถบนี้ 2.4GHz และ 5GHz ในอินเทอร์เฟซเว็บของเราเตอร์ของคุณ แม้ว่าย่านความถี่ 2.4GHz จะมีช่วงที่ยาวกว่า แต่ก็มีแนวโน้มที่จะถูกรบกวนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ และยังช้ากว่าเมื่อเทียบกับย่านความถี่ 5GHz ในทางตรงกันข้ามย่านความถี่ 5GHz นั้นเร็วกว่า แต่ช่วงนั้นสั้นกว่า

หลักการง่ายๆ ที่นี่คือการใช้แบนด์ 5GHz เมื่อคุณต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตที่ต้องใช้แบนด์วิธสูง เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ เล่นเกมออนไลน์ และรายการสตรีมมิง คุณสามารถใช้แบนด์ 2.4GHz ที่ช้ากว่าสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการแบนด์วิดท์น้อยกว่า เช่น อุปกรณ์สมาร์ทโฮมของคุณ

อัปเดตซอฟต์แวร์ กราฟิก และไดรเวอร์ฮาร์ดแวร์

เปลี่ยนอุปกรณ์เชื่อมต่อที่ล้าสมัยเพราะอุปกรณ์ที่ไม่ได้คุณภาพจะทำให้เกิดบัฟเฟอร์ที่ช้าได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณอัปเดตไดรเวอร์การ์ดแสดงผล ไดรเวอร์เสียง และไดรเวอร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว

ใช้ VPN

เครือข่ายส่วนตัวเสมือนหรือที่เรียกว่า VPN สามารถช่วยให้คุณระบุได้ว่า ISP ของคุณควบคุมปริมาณการเชื่อมต่อของคุณหรือไม่ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่หันไปใช้การควบคุมปริมาณเมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ใช้ใช้แบนด์วิธเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การสตรีมและการเล่นเกมออนไลน์ใช้แบนด์วิดท์ คุณจะต้องพบกับการบัฟเฟอร์ที่ช้าเมื่อคุณถูกควบคุมโดย ISP ของคุณ

สิ่งที่คุณต้องการทำคือเชื่อมต่อกับ VPN และลองใช้เครือข่ายของคุณอีกครั้ง VPN จะซ่อนการรับส่งข้อมูลของคุณจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถควบคุมคุณผ่านการตรวจสอบแพ็คเก็ตในเชิงลึกได้

ที่มา : https://www.onecomputerguy.com