ในยุคสมัยนี้ ความกดดันในแวดวงเทคโนโลยีเริ่มเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง แต่บริษัทเทคโนโลยีเองก็เช่นกัน หลายบริษัทพยายามคิดค้นฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้และสร้างรายได้ในรูปแบบที่บางครั้งอาจจะดูแปลกหรือน่ารำคาญ บางฟีเจอร์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในบริการดิจิทัลนั้น อาจไม่ได้มาจากความต้องการของผู้ใช้จริง ๆ แต่เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มให้มากที่สุด ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยในแง่ของประโยชน์ที่แท้จริงสำหรับผู้บริโภค
ฟีเจอร์ที่เกินความจำเป็นในเว็บเบราว์เซอร์
ย้อนกลับไปในอดีต การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์นั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา เน้นที่การค้นหาข้อมูลเท่านั้น แต่ปัจจุบันเว็บเบราว์เซอร์เริ่มกลายเป็นแพลตฟอร์มที่รวมฟีเจอร์ต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น Microsoft Edge ได้เพิ่มฟีเจอร์เกมในตัวเบราว์เซอร์และปุ่ม Copilot ที่ไม่สามารถลบออกได้
ฟีเจอร์เหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ต้องอยู่กับหน้าจอนานขึ้น แทนที่จะเป็นเพียงการค้นหาข้อมูลหรือเรียกดูหน้าเว็บ ฟีเจอร์ที่ดูเกินความจำเป็นเหล่านี้ไม่เพียงแค่ทำให้เบราว์เซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นและซับซ้อนขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าพวกเขาถูกบังคับให้อยู่ในแพลตฟอร์มเพียงเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท
เทคโนโลยี AI ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเกินพอดี
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “AI” กลายเป็นคำฮิตและถูกนำมาใช้ในหลายบริบท โดยบางครั้งทำให้ความหมายของมันเริ่มเจือจางลง เราเริ่มเห็น AI เข้ามาช่วยในหลายด้าน เช่น การปรับแต่งภาพถ่าย การเขียนตอบอีเมล และแม้แต่ในตู้เย็นที่สามารถตรวจสอบสิ่งของภายในได้โดยอัตโนมัติ
แม้ว่าบางฟีเจอร์จะดูมีประโยชน์ แต่ในหลาย ๆ กรณี ฟีเจอร์เหล่านี้อาจเกินความจำเป็นและไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการเพิ่ม AI ในผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไปเพื่อความพึงพอใจของนักลงทุนมากกว่าผู้บริโภคเอง
โฆษณาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
โฆษณากลายเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากในโลกดิจิทัลปัจจุบัน โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่เคยไม่มีโฆษณา เช่น YouTube และ Netflix ที่ตอนนี้ได้เริ่มแสดงโฆษณาที่ผู้ใช้ไม่สามารถข้ามได้ หรือเปิดบริการแบบมีโฆษณา แม้แต่บริการที่มีค่าใช้จ่ายก็เริ่มเพิ่มโฆษณาเข้าไปเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น Disney+ และ Prime Video ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนการหักหลังต่อสัญญาที่เคยให้ไว้กับผู้ใช้งาน
การที่ผู้ใช้ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือน แต่ยังต้องเห็นโฆษณาซ้ำ ๆ ทำให้ผู้ใช้เริ่มรู้สึกหงุดหงิด และบริษัทเหล่านี้ก็ยังพยายามเพิ่มยอดสมาชิกโดยการปราบปรามการแชร์รหัสผ่านอย่างจริงจัง ซึ่งแม้จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นแต่ก็ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้ใช้ที่ภักดี
ยุคของการสมัครสมาชิกที่ไม่สิ้นสุด
จากการที่เราเคยซื้อซอฟต์แวร์เพียงครั้งเดียวเพื่อใช้งาน ปัจจุบันบริษัทหลายแห่งได้ปรับไปสู่ระบบสมัครสมาชิกรายเดือน ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องจ่ายเงินอย่างต่อเนื่อง บริการอย่าง Adobe Creative Suite และ Microsoft Office ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้
ไม่เพียงแค่นั้น บางบริการที่เคยฟรีกลับเริ่มมีการเก็บค่าบริการสมัครสมาชิก เช่น การเปิดประตูโรงรถของ Tesla ซึ่งต้องจ่ายรายปี การเพิ่มรูปแบบการจ่ายเงินอย่างต่อเนื่องนี้เกิดขึ้นเพื่อรักษารายได้ในระยะยาว แต่มักทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแบกรับภาระที่ไม่จำเป็น
ใครเป็นคนกำหนดทิศทางนี้
หลายคนอาจตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทเหล่านี้จึงพยายามผลักดันฟีเจอร์หรือรูปแบบการให้บริการที่อาจไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้ คำตอบส่วนหนึ่งคือการผลักดันจากนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนสูงและการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างเช่น Netflix ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันให้เติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีสมาชิกมากกว่า 280 ล้านคนแล้ว Netflix ยังคงต้องหาวิธีเพิ่มมูลค่าจากผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดการแชร์รหัสผ่าน การเพิ่มเกม และการเสนอบริการแบบมีโฆษณา เพื่อให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับแพลตฟอร์มมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุนที่ต้องการเห็นการเติบโตแบบยั่งยืน
บทสรุป
แม้จะมีแรงกดดันจากนักลงทุน แต่ผู้ใช้ยังคงมีอำนาจที่จะเลือกใช้งานหรือไม่ใช้งานฟีเจอร์หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่ไม่ตรงกับความต้องการของพวกเขา การตอบโต้จากผู้บริโภคมีความสำคัญ เพราะในที่สุดบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จะต้องรับฟังเสียงของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น และลดการพึ่งพาการเพิ่มฟีเจอร์เกินจำเป็นหรือนโยบายที่เอื้อเฉพาะกับกลุ่มนักลงทุนเท่านั้น
ที่มา : https://www.howtogeek.com