ถึงแม้ DDoS จะดูเหมือนหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากคุณมีการวางแผนที่ดี ก็สามารถป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด 10 ข้อที่คุณควรนำไปใช้
DDoS คืออะไร?
การโจมตีแบบ DDoS คือความพยายามทำให้ระบบหรือเว็บไซต์ของเป้าหมายไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ โดยผู้โจมตีจะส่งคำขอข้อมูลจำนวนมหาศาลผ่านทางอินเทอร์เน็ตมายังเซิร์ฟเวอร์หรือเครือข่ายของเป้าหมายในเวลาเดียวกัน จนทำให้ระบบล่มหรือช้าลงจนไม่สามารถให้บริการได้
ลองนึกภาพว่าคุณเปิดร้านอาหารอยู่ แล้วมีคนแกล้งโทรมาจองโต๊ะนับพันสายพร้อมกันจนสายโทรศัพท์ถูกใช้งานเต็มหมด ลูกค้าจริงไม่สามารถโทรเข้ามาจองได้ นั่นคือหลักการเดียวกับ DDoS เพียงแต่เกิดบนโลกออนไลน์
DDoS ทำงานอย่างไร?
เบื้องหลังของ DDoS คือ บอตเน็ต (Botnet) ซึ่งคือกลุ่มอุปกรณ์ที่ถูกแฮกโดยมัลแวร์ เช่น คอมพิวเตอร์ กล้องวงจรปิด หรืออุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกควบคุมให้ส่งคำขอปลอมๆ มายังระบบเป้าหมายพร้อมกันในปริมาณมหาศาล จนเครือข่ายไม่สามารถรองรับได้
3 ประเภทของการโจมตี DDoS ที่ควรรู้
1. การโจมตีแบบ Volumetric (วอลุ่มเมตริก)
เป็นการโจมตีที่ใช้ปริมาณข้อมูลจำนวนมากเพื่อถล่มเป้าหมาย เช่น การส่งแพ็กเก็ตปลอมผ่าน UDP หรือ ICMP โดย:
- UDP Flood: ส่งแพ็กเก็ต UDP ปลอมไปยังเป้าหมาย ทำให้ระบบต้องตอบกลับเป็นจำนวนมาก
- ICMP Flood: ส่งข้อความ “ping” อย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ทรัพยากรของระบบจนหมด
เปรียบเทียบได้กับการสั่งพิซซ่าหลายถาดจากร้านต่างๆ ส่งไปยังบ้านของเหยื่อพร้อมกัน ทั้งที่เหย้าไม่ได้สั่งเอง
2. การโจมตีระดับโปรโตคอล (Protocol Attacks)
การโจมตีลักษณะนี้จะเน้นที่ช่องโหว่ของโปรโตคอลในระบบเครือข่าย เช่น SYN Flood ซึ่งใช้ช่องโหว่ของขั้นตอนเชื่อมต่อ TCP
- ผู้โจมตีจะส่งคำขอเริ่มเชื่อมต่อ (SYN) แล้วไม่ยืนยันการเชื่อมต่อ (ACK)
- ทำให้ระบบรอการตอบกลับอยู่อย่างนั้นจนทรัพยากรหมด
เปรียบเสมือนการเคาะประตูบ้านแล้ววิ่งหนี ทำให้เจ้าของบ้านเปิดประตูโดยไม่มีใครอยู่หน้าบ้านซ้ำๆ
3. การโจมตีระดับแอปพลิเคชัน (Application Layer Attacks)
การโจมตีที่ซับซ้อนและตรวจจับยากที่สุด โดยเจาะจงไปที่จุดอ่อนของแอปพลิเคชัน เช่น หน้าเว็บ ฟอร์มล็อกอิน หรือระบบสั่งซื้อออนไลน์
- ตัวอย่างเช่น การส่งคำขอ HTTP หลายพันครั้งต่อวินาทีไปยังหน้าเว็บ จนระบบโหลดไม่ทัน
- ระบบอาจมองว่าเป็นผู้ใช้งานจริง แต่จริงๆ แล้วคือบอตที่พยายามทำให้เว็บล่ม
ทำไมต้องป้องกันการโจมตี DDoS?
การโจมตี DDoS สามารถทำให้ระบบล่มหรือใช้งานไม่ได้ในช่วงเวลาสำคัญ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เครือข่ายโอเวอร์โหลด
แม้การวางแผนและใช้กลยุทธ์บรรเทาผลกระทบอาจต้องใช้เวลา แต่จะช่วยให้คุณรับมือได้อย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงจากความเสียหายทางธุรกิจ นอกจากนี้ การตรวจจับสัญญาณล่วงหน้าและการตอบสนองอย่างทันท่วงทียังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบรักษาความปลอดภัยขององค์กรอีกด้วย
10 วิธีป้องกันการโจมตี DDoS
1. รู้จักพฤติกรรมการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย
เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจรูปแบบการใช้งานปกติของเครือข่าย เช่น ปริมาณการใช้งานในช่วงเวลาต่างๆ หรือแหล่งที่มาของทราฟฟิก วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถตรวจจับความผิดปกติที่อาจเกิดจากการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว
2. สร้างแผนรับมือ
การเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณตอบสนองต่อการโจมตีได้รวดเร็ว เช่น มีขั้นตอนแจ้งเตือน ทีมตอบสนอง และรายชื่อผู้ติดต่อสำคัญทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงแนวทางการสื่อสารกับลูกค้าหรือผู้เกี่ยวข้อง
3. ออกแบบเครือข่ายให้ยืดหยุ่น
อย่ากระจุกศูนย์ข้อมูลไว้ที่เดียว แนะนำให้กระจายทรัพยากรไปยังหลายตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ และใช้โครงสร้างแบบกระจายเพื่อไม่ให้ระบบล่มทั้งระบบหากถูกโจมตีที่จุดใดจุดหนึ่ง
4. ปฏิบัติตามสุขอนามัยทางไซเบอร์
การรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น การใช้รหัสผ่านที่รัดกุม การเปิดใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน และการฝึกอบรมผู้ใช้งานเรื่องภัยไซเบอร์ ล้วนมีส่วนช่วยป้องกันการโจมตีได้
5. เพิ่มแบนด์วิดท์
แม้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาโดยตรง แต่การเพิ่มขนาดแบนด์วิดท์ของเครือข่ายสามารถช่วยให้ระบบรองรับทราฟฟิกจำนวนมากได้ดีขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสที่ระบบจะล่มจากการโจมตี
6. ใช้อุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ป้องกัน DDoS
มีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตรวจจับและลดผลกระทบจากการโจมตี DDoS แนะนำให้ติดตั้งและปรับตั้งค่าระบบให้เหมาะสม เช่น การปิดพอร์ตที่ไม่จำเป็นหรือการตั้งค่าการหมดเวลาเชื่อมต่อ
7. พิจารณาย้ายระบบไปยังคลาวด์
ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่มีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับ DDoS ได้ดีกว่าระบบที่ติดตั้งภายในองค์กร เช่น มีแบนด์วิดท์สูงและกระจายศูนย์ข้อมูลหลายแห่ง ช่วยให้ลดผลกระทบจากการโจมตีได้
8. รู้จักสัญญาณเตือนของการโจมตี
อาการที่บ่งชี้ว่าอาจเกิด DDoS ได้แก่ เว็บไซต์โหลดช้า ปัญหาในการเชื่อมต่อ การได้รับคำขอจำนวนมากจากไอพีเดียว หรือทราฟฟิกสูงผิดปกติ การรู้จักสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณตอบสนองได้ทันท่วงที
9. ใช้บริการป้องกันจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก
หลายบริษัทมีบริการ “DDoS Protection” แบบสำเร็จรูปที่ช่วยตรวจจับ บล็อก หรือบรรเทาการโจมตีแบบเรียลไทม์ ซึ่งอาจคุ้มค่ากับการลงทุน โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ให้บริการออนไลน์เป็นหลัก
10. เฝ้าระวังเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง
การเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ทำให้คุณสามารถตรวจจับการโจมตีตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและดำเนินการตอบโต้ได้ทันเวลา ควรตั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อพบพฤติกรรมผิดปกติและจัดเก็บบันทึกไว้เพื่อวิเคราะห์ภายหลัง
บทสรุป
การป้องกัน DDoS ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการวางแผน การออกแบบระบบ และการเสริมสร้างความรู้ให้กับบุคลากรในองค์กร การมีแนวทางปฏิบัติที่ดีและการตอบสนองอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้องค์กรสามารถยืนหยัดต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ในยุคที่โลกออนไลน์กลายเป็นโครงสร้างหลักของทุกธุรกิจ ความพร้อมในการรับมือกับการโจมตี DDoS คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ที่มา : https://securityscorecard.com