เวลาเข้าเว็บไซต์ยังต้องพิมพ์ “www” ใน URL อยู่เสมอหรือไม่? เพราะอะไร

สำหรับหลายคน การพิมพ์ “www” ก่อนที่อยู่เว็บไซต์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในปัจจุบัน คุณอาจสังเกตเห็นว่าไม่จำเป็นต้องพิมพ์อีกต่อไป หลายคนยังสงสัยว่าการไม่พิมพ์ “www” จะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ และคำถามที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือไม่ก็ยังเป็นที่ถกเถียง ในบทความนี้ เราจะสำรวจว่าทำไม “www” ถึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป และวิธีที่ระบบทำงานเบื้องหลัง

การทำงานเมื่อคุณพิมพ์ URL

เมื่อคุณพิมพ์ URL เช่น example.com หรือ www.example.com ในเบราว์เซอร์ เบราว์เซอร์จะติดต่อกับ Domain Name System (DNS) เพื่อแปลงชื่อโดเมนที่มนุษย์สามารถอ่านได้ให้เป็นที่อยู่ IP ตัวเลข เช่น 192.168.1.1 ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์นั้น ๆ

ไม่ว่าคุณจะใส่ “www” หรือไม่ DNS และการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์จะกำหนดวิธีการจัดการคำขอ ตัวอย่างเช่น:

  • หากเว็บไซต์รองรับทั้ง example.com และ www.example.com ผู้ใช้อาจถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังโดเมนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น www.example.com โดยอัตโนมัติ
  • ถ้าเว็บไซต์กำหนดให้ใช้ “www” เท่านั้น แต่คุณพิมพ์แบบไม่มี “www” เซิร์ฟเวอร์อาจแจ้งข้อผิดพลาดหรือไม่สามารถเข้าถึงได้

ดังนั้น การใส่ “www” หรือไม่ ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของเว็บไซต์และไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง

ความเป็นมาของ “www”

ในช่วงแรกของอินเทอร์เน็ต โครงสร้างโดเมนถูกแยกออกเป็นบริการต่าง ๆ เช่น:

  • www.example.com สำหรับเว็บเซิร์ฟเวอร์
  • ftp.example.com สำหรับการถ่ายโอนไฟล์
  • mail.example.com สำหรับอีเมล

“www” ทำหน้าที่ระบุว่าโดเมนนั้นเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตเติบโตและเว็บกลายเป็นบริการหลัก “www” เริ่มสูญเสียความจำเป็น เว็บไซต์ส่วนใหญ่เริ่มใช้โดเมนเปล่า (root domain) เช่น example.com โดยตรง ทำให้การพิมพ์ URL ง่ายขึ้น

การใช้ “www” ในปัจจุบัน

แม้ว่า “www” จะไม่จำเป็นสำหรับการเข้าถึงเว็บไซต์ในหลายกรณี แต่ยังมีบางเว็บไซต์ที่ใช้โดเมนย่อยนี้ เช่น:

  1. สำหรับการจัดการปริมาณการใช้งาน
    การใช้ www.example.com และ example.com แยกจากกันช่วยให้เซิร์ฟเวอร์สามารถจัดการทรัพยากรได้ดีขึ้น เช่น แยกทราฟฟิกระหว่างเว็บไซต์และบริการอื่น
  2. การจัดการ SEO และการกำหนดค่าดั้งเดิม
    เว็บไซต์บางแห่งเลือกใช้ “www” เพื่อป้องกันปัญหาคอนเทนต์ซ้ำ (duplicate content) ใน SEO โดยกำหนดให้มี URL หลักเพียงรูปแบบเดียว

ในกรณีส่วนใหญ่ หากเว็บไซต์รองรับทั้งแบบมีและไม่มี “www” ประสบการณ์การใช้งานจะไม่แตกต่างกัน เพราะระบบเซิร์ฟเวอร์และ DNS ถูกตั้งค่าให้รองรับทั้งสองแบบ

ความเชื่อผิดเกี่ยวกับ “www” และความปลอดภัย

การพิมพ์หรือไม่พิมพ์ “www” ไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของคุณ แต่ปัจจัยที่สำคัญกว่านั้นคือ:

  • การใช้ HTTPS:
    โปรโตคอล HTTPS มีตัวอักษร “s” ที่แสดงถึงความปลอดภัย ซึ่งช่วยเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเบราว์เซอร์ของคุณและเว็บไซต์ ป้องกันการดักจับข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่านและข้อมูลบัตรเครดิต
  • การกำหนดค่าเซิร์ฟเวอร์และ DNS ที่ถูกต้อง:
    หากเซิร์ฟเวอร์หรือระบบ DNS ของเว็บไซต์ถูกโจมตี ทั้ง example.com และ www.example.com จะได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน

วิธีป้องกันตัวเองขณะใช้งานเว็บ

แม้ว่า “www” จะไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง แต่มีปัจจัยอื่นที่ควรใส่ใจ:

  1. ตรวจสอบไอคอนแม่กุญแจ:
    ไอคอนนี้ในแถบที่อยู่ของเบราว์เซอร์บอกว่าเว็บไซต์ใช้ HTTPS อย่างไรก็ตาม ไอคอนนี้ไม่ได้รับประกันว่าเว็บไซต์นั้นถูกต้องตามกฎหมาย
  2. หลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ดูน่าสงสัย:
    หาก URL มีการสะกดผิดเล็กน้อย หรือมีคำที่แปลกตา เช่น examp1e.com แทนที่จะเป็น example.com อาจเป็นเว็บปลอม
  3. ใช้เบราว์เซอร์ที่อัปเดต:
    เบราว์เซอร์รุ่นใหม่ช่วยให้คุณปลอดภัยยิ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ เช่น การเปลี่ยนเป็น HTTPS โดยค่าเริ่มต้น

บทสรุป

ในปัจจุบัน การพิมพ์ “www” ใน URL ไม่จำเป็นอีกต่อไปในหลายกรณี แต่ก็ยังคงใช้ในบางเว็บไซต์ตามการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ การมีหรือไม่มี “www” ไม่ได้เพิ่มหรือลดความปลอดภัย สิ่งที่สำคัญกว่าคือการใช้ HTTPS และการตรวจสอบความถูกต้องของเว็บไซต์ การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยขึ้นอยู่กับการใส่ใจในรายละเอียดและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การตกเป็นเหยื่อของฟิชชิงหรือมัลแวร์

ที่มา : https://www.howtogeek.com