8 วิธีแนวทางการใช้ Task Manager ใน Windows ที่ทุกคนควรรู้

Task Manager หรือ “ตัวจัดการงาน” คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ Windows ที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักใช้ในการปิดแอปพลิเคชันที่ค้างหรือตรวจสอบการใช้ทรัพยากรพื้นฐาน เช่น CPU หรือหน่วยความจำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Task Manager มีฟีเจอร์มากมายที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการดูแลระบบได้มากกว่าที่คิด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 8 เคล็ดลับที่ควรรู้ในการใช้ Task Manager ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

1.หยุดการอัปเดตของ Task Manager ชั่วคราวเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล

โดยปกติแล้ว Task Manager จะอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้กระบวนการต่าง ๆ จัดเรียงใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้การตรวจสอบหรือจับภาพข้อมูลเฉพาะจุดเป็นเรื่องลำบาก โดยเฉพาะเมื่อต้องการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด

หากต้องการหยุดการอัปเดตชั่วคราว

  1. เพียงกดปุ่ม Ctrl ค้างไว้
  2. ข้อมูลในหน้าต่างจะค้างอยู่เท่าที่แสดงในขณะนั้น

ช่วยให้คุณดูรายละเอียดได้ชัดเจนขึ้น และเมื่อวิเคราะห์เสร็จแล้ว เพียงปล่อยปุ่ม Ctrl การอัปเดตจะกลับมาเป็นแบบเรียลไทม์ตามปกติทันที

2.เปิดใช้งาน “Efficiency Mode” สำหรับงานที่ไม่สำคัญ

Task Manager มีฟีเจอร์ “โหมดประสิทธิภาพ” (Efficiency Mode) สำหรับลดการใช้ทรัพยากรของกระบวนการที่ไม่จำเป็น ช่วยให้โปรแกรมสำคัญสามารถทำงานได้เร็วขึ้น และลดการใช้พลังงานโดยรวมของเครื่อง

หากต้องการเปิดโหมดนี้ ให้คลิกขวาที่กระบวนการที่ต้องการ แล้วเลือก “โหมดประสิทธิภาพ” จากเมนู หากระบบแจ้งเตือน ให้คลิกยืนยันการเปิดใช้งาน คุณจะเห็นไอคอนใบไม้สีเขียวแสดงอยู่ข้างกระบวนการนั้น แสดงว่าโหมดนี้ทำงานอยู่

คำเตือน: อย่าเปิดโหมดประสิทธิภาพกับกระบวนการระบบหรือแอปหลัก เพราะอาจทำให้เครื่องไม่เสถียรหรือช้าลงได้

3. ตั้งค่าแท็บเริ่มต้นให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ

โดยปกติ Task Manager จะเปิดที่แท็บ Processes แต่หากคุณใช้แท็บอื่นบ่อยกว่า เช่น Performance หรือ App history คุณสามารถตั้งค่าให้เป็นค่าเริ่มต้นได้ง่ายๆ ไปที่ปุ่ม Settings ด้านล่างซ้าย จากนั้นเลือกแท็บที่คุณต้องการในหัวข้อ “Default Start Page” ระบบจะจดจำการตั้งค่าสำหรับการเปิดครั้งถัดไป

4. เรียงลำดับกระบวนการเพื่อดูว่าอะไรใช้ทรัพยากรมากที่สุด

แทนที่จะเลื่อนหากระบวนการที่ใช้ CPU หรือ RAM มากที่สุด คุณสามารถคลิกที่หัวคอลัมน์ เช่น Memory หรือ CPU เพื่อเรียงจากมากไปน้อย การดูเรียงลำดับนี้จะช่วยให้คุณพบแอปหรือกระบวนการที่อาจเป็นต้นเหตุของระบบช้าได้เร็วขึ้น และสามารถจัดการได้ทันที

5. ปรับแต่งคอลัมน์เพื่อแสดงข้อมูลที่คุณต้องการ

Task Manager อนุญาตให้ผู้ใช้เพิ่มหรือลบคอลัมน์ในแต่ละแท็บ เช่น Processes, Startup และ Details เพียงคลิกขวาที่หัวคอลัมน์ แล้วเลือก “เลือกคอลัมน์” คุณสามารถแสดงข้อมูลเพิ่มเติม เช่น PID (Process ID), Command line หรืออื่นๆ ได้ตามความจำเป็น ช่วยให้ดูรายละเอียดเชิงลึกได้สะดวกขึ้น

6. เริ่มงานใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจาก Task Manager

หากระบบค้างหรือเดสก์ท็อปไม่ตอบสนอง คุณสามารถเปิดแอปใหม่หรือเรียกไฟล์ผ่าน Task Manager ได้โดยคลิกปุ่ม “Run new task” ที่มุมขวาบน แล้วพิมพ์ชื่อโปรแกรม เช่น notepad, explorer หรือ chrome จากนั้นคลิก “OK” วิธีนี้สะดวกมากในสถานการณ์ที่คุณไม่สามารถเปิดโปรแกรมผ่านวิธีปกติได้

7. เปิด Command Prompt ด้วยสิทธิ์ผู้ดูแลระบบอย่างรวดเร็ว

ในกรณีที่คุณต้องใช้ Command Prompt เพื่อแก้ไขปัญหาหรือสั่งงานแบบขั้นสูง แต่ไม่สามารถเข้าถึงจากเมนูปกติได้ คุณสามารถเรียกใช้ผ่าน Task Manager ได้เช่นกัน คลิก Run new task แล้วพิมพ์ cmd และทำเครื่องหมายที่ช่อง “Create this task with administrative privileges” แล้วคลิก OK หรือใช้ทางลัดพิเศษโดยกด Ctrl ค้างไว้ขณะคลิก “Run new task” เพื่อเปิด Command Prompt ได้ทันที

8. ใช้ Task Manager แบบคลาสสิกหากคุณไม่ชอบดีไซน์ใหม่

Task Manager บน Windows 11 มาพร้อมกับหน้าตาใหม่และฟีเจอร์มากมาย แต่หากคุณคุ้นเคยกับเวอร์ชันเก่ามากกว่า คุณสามารถเปิด Task Manager แบบคลาสสิกได้โดยกด Windows + R แล้วพิมพ์คำสั่ง taskmgr -d แล้วกด Enter รูปแบบคลาสสิกจะปรากฏขึ้นเหมือนบน Windows 10 ซึ่งบางคนอาจมองว่าใช้งานง่ายกว่า

บทสรุป

Task Manager ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับปิดแอปที่ค้าง แต่เป็นศูนย์ควบคุมทรัพยากรและกระบวนการของระบบที่มีประสิทธิภาพมาก เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบทรัพยากร การเปิดแอปใหม่ การปรับแต่งข้อมูลที่ต้องการ หรือการวินิจฉัยปัญหาในระบบ ลองนำไปใช้ดู แล้วคุณจะพบว่า Task Manager มีอะไรมากกว่าที่คิด

ที่มา : https://www.howtogeek.com/