ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อทุกภาคส่วนของสังคม ความปลอดภัยด้านไอที (IT Security) กลายเป็นหัวใจหลักขององค์กรทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากจำนวนการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้การป้องกันและรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ธุรกิจต้องเผชิญ
ความปลอดภัยด้านไอทีมีหน้าที่ปกป้ององค์กรจากภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอก โดยภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้พัฒนาและซับซ้อนมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ภัยคุกคามที่พบได้บ่อย ได้แก่
- แรนซัมแวร์ (Ransomware) – มัลแวร์ที่แฮกเกอร์ใช้เข้ารหัสข้อมูล ระบบ หรืออุปกรณ์ของบริษัท จากนั้นเรียกค่าไถ่เพื่อให้ปลดล็อกข้อมูล
- สปายแวร์ (Spyware) – ซอฟต์แวร์ที่แอบติดตั้งในอุปกรณ์เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
- ฟิชชิ่ง (Phishing) – เทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อหลอกให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น รหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิต ผ่านอีเมลหรือเว็บไซต์ปลอม
- การโจมตีแบบ Distributed Denial of Service (DDoS) – การส่งคำขอจำนวนมากไปยังเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร จนระบบไม่สามารถให้บริการได้
หากองค์กรตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ อาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญถูกขโมยหรือถูกทำลาย ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้ ความเสียหายต่อชื่อเสียง และในกรณีที่ร้ายแรง ธุรกิจอาจถึงขั้นต้องปิดตัวลง
ประเภทของความปลอดภัยด้านไอที
ระบบไอทีขององค์กรประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่ต้องได้รับการป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเครือข่าย ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ หรือบุคลากร ดังนั้น ความปลอดภัยด้านไอทีสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้
1. ความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต (Internet Security)
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางหลักที่แฮกเกอร์ใช้ในการโจมตีองค์กร ดังนั้น การรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตจึงจำเป็นต้องอาศัยมาตรการต่างๆ เช่น
- การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) – ใช้ VPN หรือโปรโตคอลเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการสอดแนม
- รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง (Strong Passwords) – การใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน เช่น NordPass เพื่อสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่ปลอดภัย
2. ความปลอดภัยของอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint Security)
อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายองค์กร เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต ต้องได้รับการป้องกันเพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ วิธีการรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ปลายทาง ได้แก่
- การใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและไฟร์วอลล์
- การบังคับใช้นโยบายด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ในองค์กร
3. ความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud Security)
การใช้บริการคลาวด์ช่วยให้ธุรกิจจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเช่นกัน ดังนั้น การป้องกันข้อมูลบนคลาวด์ต้องอาศัยมาตรการเช่น
- การเข้ารหัสข้อมูล
- การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล
- การตรวจสอบกิจกรรมที่น่าสงสัย
4. ความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน (Application Security)
แอปพลิเคชันทางธุรกิจ เช่น เว็บไซต์และซอฟต์แวร์ขององค์กร อาจมีช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้เป็นช่องทางโจมตีได้ การรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชันจึงต้องใช้แนวทางดังนี้
- ใช้โฮสต์เว็บไซต์ที่ปลอดภัย เช่น Hostinger
- ติดตั้งใบรับรอง SSL เพื่อเข้ารหัสข้อมูลที่รับส่ง
- ใช้ CAPTCHA เพื่อป้องกันการโจมตีจากบอท
5. ความปลอดภัยของผู้ใช้ (User Security)
ผู้ใช้เป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดในการรักษาความปลอดภัยด้านไอที การให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และแนวทางปฏิบัติที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เช่น
- ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับฟิชชิ่งและภัยคุกคามทางไซเบอร์
- กำหนดนโยบายการใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย
- สนับสนุนให้พนักงานใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัย
ความแตกต่างระหว่างความปลอดภัยไอที (IT Security) และความปลอดภัยของข้อมูล (InfoSec)
แม้ว่าความปลอดภัยด้านไอทีและความปลอดภัยของข้อมูลจะเกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่ นี่คือข้อแตกต่าง
- IT Security มุ่งเน้นที่การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานและระบบไอที
- InfoSec เน้นการปกป้องข้อมูลทั้งในรูปแบบดิจิทัลและกายภาพ รวมถึงการป้องกันการละเมิดและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
การจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล (ISRM)
ISRM เป็นกระบวนการที่ช่วยองค์กรในการระบุ บริหารจัดการ และลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล กระบวนการประกอบด้วย:
- การระบุความเสี่ยง – ตรวจสอบจุดอ่อนและช่องโหว่
- การประเมินความเสี่ยง – วิเคราะห์ผลกระทบของความเสี่ยง
- การบรรเทาความเสี่ยง – ใช้มาตรการป้องกัน เช่น ไฟร์วอลล์และซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย
- การติดตามและบำรุงรักษา – ตรวจสอบและอัปเดตกลยุทธ์เป็นระยะ
บทสรุป
ในยุคดิจิทัลที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจทุกขนาดต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านไอที การป้องกันภัยคุกคาม เช่น ฟิชชิ่ง แรนซัมแวร์ และการโจมตี DDoS จำเป็นต้องมีมาตรการที่รัดกุมและอัปเดตอยู่เสมอ
การใช้โซลูชันด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง และการฝึกอบรมพนักงาน จะช่วยให้ธุรกิจลดความเสี่ยงและปกป้องข้อมูลสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : https://nordpass.com